5. ประโยชน์ของสารกึ่งตัวนำ
5.1 ไดโอด
ไดโอดซึ่งทำจากสารกึ่งตัวนำที่มีหัวต่อ
PN หนึ่งหัวต่อ ความต้านทานไฟฟ้าของไดโอดนี้จะมี
- ค่าสูงในทิศทางย้อน
- ค่าต่ำในทิศทางตาม
เมื่อป้อนแรงดันไฟสลับให้ไดโอดด้วยคุณสมบัติข้างต้น
กระแสไฟฟ้าจะไหลได้ในทิศทางตามเท่านั้น ไดโอดจึงสามารถตัดกระแสไฟฟ้าได้
เมื่อป้อนแรงดันไฟฟ้าในทิศทางตาม
กระแสไฟฟ้าในทิศทางตามจะเริ่มไหลที่ค่าแรงดันไฟฟ้าค่าหนึ่ง เรียกว่า แรงดันแพร่ซึม ซึ่งมีค่าเฉพาะ
(เจอเมเนียมมีค่า 0.3 ~ 0.4 โวลต์ ซิลิ คอนมีค่า 0.7
~ 0.8 โวลต์)
กระแสไฟฟ้าในทิศทางย้อนมีค่า 1
ส่วนใน 107 ของกระแสไฟฟ้าในทิศทางตาม จึงมีค่าน้อยมาก แต่ไม่ถึงกับเป็นศูนย์
เหตุผลเพราะ ในเนื้อสารส่วนที่เป็น P ยังมีอิเล็กตรอน
และในเนื้อสารส่วนที่เป็น N ยังมีโฮล
พาหะเหล่านี้ยังทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าได้โดยเคลื่อนที่ผ่านจุดบกพร่องที่มีอยู่ในข่ายผลึกของอะตอม
อุณหภูมิยังมีผลต่อกระแสไฟฟ้าในทิศทางย้อนได้ กล่าวคือ
กระแสไฟฟ้าจะมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
เมื่อกระแสไฟฟ้าสลับทิศ
(สวิชชิ่ง) จากทิศทางตามเป็นทิศทางย้อน จะเกิดความช้าในการ เปลี่ยนทิศขึ้น
เนื่องจากกว่าที่พาหะในหัวต่อ PN จะหายไปหมดต้องใช้เวลาบ้างนั่นเอง
ปรกติ สวิชชิ่งไดโอดจะมีค่าเวลานี้ประมาณ 10-8 ~10-9วินาที ซึ่งมีค่าที่น้อยมาก
ภาพประกอบที่ 12 แสดงค่ากระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าในทิศตามและย้อน
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor27.jpg
|
ไดโอดมีหลายชนิดแล้วแต่การใช้งาน
เฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น
-
ซีนเนอร์ไดโอด
(ใช้ควบคุมเสถียรภาพของแรงดันไฟฟ้า)
-
วาแรคเตอร์ไดโอด (ใช้ปรับความถี่)
-
ชอตกี้ไดโอด
(การสวิตชิ่งที่มีความเร็วสูง)
นอกจากนี้ยังมีไดโอดที่ใช้งานย่านความถี่
ไมโครเวฟ เช่น
-
ทันแนลไดโอด
-
อิมแพทไดโอด (ใช้ในการกำเนิดและ
ขยายสัญญาณไมโครเวฟ)
-
กันน์ไดโอด
5.2 โฟโตไดโอด
โฟโตไดโอด คือ สิ่งประดิษฐ์รับแสงที่ทำจากสารกึ่งตัวนำ จะเปลี่ยนสัญญาณแสงให้เป็น สัญญาณไฟฟ้า เมื่อแสงตกกระทบอิเล็กตรอนที่ยึดติดอยู่กับอะตอมในข่ายผลึกจะแตกหลุด เกิดเป็นอิเล็กตรอนอิสระ และโฮลอิสระขึ้น อิเล็กตรอน และโฮลเหล่านี้จะเคลื่อนที่เข้าไปในเขตปลอดพาหะ เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าย้อนด้วยปริมาณที่แปรเปลี่ยนตามความเข้มแสง เรียกว่า กระแสโฟโต
ภาพประกอบที่ 13 แสดงโฟโตไดโอด
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor28.jpg
|
โฟโตไดโอดใช้ประโยชน์ในงาน
- วัดความเข้มแสง
- ชัตเตอร์แสง
- กำหนดตำแหน่งของเครื่องมือกล
- การวัดระยะทางไกลด้วยแสงอินฟาเรด
- ตรวจจับสัญญาณแสงที่ความถี่สูง
5.3 โฟโตทรานซิสเตอร์
โฟโตทรานซิสเตอร์ คือ โฟโตไดโอดที่มีการขยายสัญญาณ โดยใช้หัวต่อ PN ที่ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเบส และคอลเลคเตอร์ เป็นที่รับแสง กระแสโฟโตที่เกิดขึ้นจะไหลไปอีมิตเตอร์ เนื่องด้วยปรากฏการณ์ทรานซิสเตอร์กระแสอีมิตเตอร์ จะมีขนาดเป็นประมาณ 500 เท่าของกระแสโฟโตที่เกิดขึ้นในตอนแรกเมื่อถูกแสง
โฟโตทรานซิสเตอร์ใช้ประโยชน์ในงาน
- เครื่องควบคุมแสง
- ตรวจสอบแผ่นการ์ดหรือเทปเจาะรู
- ตัวเชื่อมแสงกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์
โฟโตทรานซิสเตอร์ใช้ประโยชน์ในงาน
- เครื่องควบคุมแสง
- ตรวจสอบแผ่นการ์ดหรือเทปเจาะรู
- ตัวเชื่อมแสงกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์
ภาพประกอบที่ 14 แสดงโฟโตทรานซิสเตอร์
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor29.jpg
|
5.4
เซลล์แสงอาทิตย์
เซลล์แสงอาทิตย์ทำงานเหมือนโฟโตไดโอด เมื่อมีแสงตกกระทบจะเกิดพาหะอิสระขึ้น ข้อ แตกต่างคือไม่ต้องป้อนแรงดันไฟฟ้าภายนอกให้กับหัวต่อ PN
อิเล็กตรอนและโฮลจะเกิดขึ้นในเขตปลอดพาหะของหัวต่อ PN สนามไฟฟ้าภายในของเขตปลอดพาหะจะแยกพาหะไฟฟ้าทั้งสองนี้ไปคนละข้าง เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าไหลสู่วงจรภายนอก เซลล์แสงอาทิตย์จึงทำหน้าที่แปรพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า
เซลล์แสงอาทิตย์ใช้ประโยชน์ในงาน
- ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสง อาทิตย์ด้วยประสิทธิภาพ 12% ~ 5%
- วัดความเข้มแสง ไดโอดเปล่งแสง (LED) ไดโอดเปล่งแสง คือ ไดโอดที่เปล่ง
แสงได้ โดยเปลี่ยนกระแสไฟฟ้าให้เป็นแสงที่ตามองเห็น หรือให้เป็นแสงอินฟราเรด (L : Light (แสง) E : Emitting (เปล่ง) D : ไดโอด)
อิเล็กตรอนและโฮลจะเกิดขึ้นในเขตปลอดพาหะของหัวต่อ PN สนามไฟฟ้าภายในของเขตปลอดพาหะจะแยกพาหะไฟฟ้าทั้งสองนี้ไปคนละข้าง เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าไหลสู่วงจรภายนอก เซลล์แสงอาทิตย์จึงทำหน้าที่แปรพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า
เซลล์แสงอาทิตย์ใช้ประโยชน์ในงาน
- ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสง อาทิตย์ด้วยประสิทธิภาพ 12% ~ 5%
- วัดความเข้มแสง ไดโอดเปล่งแสง (LED) ไดโอดเปล่งแสง คือ ไดโอดที่เปล่ง
แสงได้ โดยเปลี่ยนกระแสไฟฟ้าให้เป็นแสงที่ตามองเห็น หรือให้เป็นแสงอินฟราเรด (L : Light (แสง) E : Emitting (เปล่ง) D : ไดโอด)
5.5 ไดโอดเปล่งแสง
ไดโอดเปล่งแสงทำจากผลึกสารกึ่งตัวนำที่มีหัวต่อ
PN เมื่อมีการป้อนแรงดันไฟฟ้าตาม อิเล็กตรอนในส่วนที่เป็น N
และโฮลในส่วนที่เป็น P จะเคลื่อนที่เข้าหารอยต่อ
อิเล็กตรอนและโฮลจะรวมตัวกัน และปล่อยแสงออกมา ในสภาพการรวมตัวของอิเล็กตรอนอิสระ
พลังงานอิสระ จะถูกปลดปล่อยออกมาในรูปของแสง
สีของแสงที่เปล่งจะขึ้นกับชนิดของผลึก
สารกึ่งตัวนำและชนิดของสารเจือปน
ภาพประกอบที่ 15 แสดงไดโอดเปล่งแสง
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor30.jpg
|
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาไดโอดเปล่งแสงสีน้ำเงิน
โดยใช้สารประกอบกึ่งตัวนำกลุ่ม II-VI ด้วย
ภาพประกอบที่ 16 แสดงไดโอดเปล่งแสงสีน้ำเงิน
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor31.jpg
|
ภาพประกอบที่ 17 แสดงชนิดของผลึกสารกึ่งตัวนำที่ทำให้ไดโอดเปล่งแสงเป็นสีต่างๆ
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor32.jpg
|
5.6 ไบโพลาร์ทรานซิสเตอร์
ไบโพลาร์ทรานซิสเตอร์ใช้เป็นตัวขยายสัญญาณไฟฟ้า
หรือทำหน้าที่เป็นสวิตช์ การทำงานต้องอาศัยประจุไฟฟ้าสองชนิด คือ อิเล็กตรอนและโฮล
จึงเรียกว่า ไบโพลาร์ ทรานซิสเตอร์
ไบโพลาร์ทรานซิสเตอร์มีโครงสร้าง
PNP หรือ NPN
ไบโพลาร์ทรานซิสเตอร์ประกอบด้วยหัวต่อ
PN จำนวน ๒ หัวต่อ คือ หัวต่อระหว่าง อีมิตเตอร์ - เบส และ
เบส - คอลเลคเตอร์
ภาพประกอบที่ 18 แสดงไบโพลาร์ทรานซิสเตอร์
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor33.jpg
|
หัวต่อเบส - คอลเลคเตอร์
ถูกไบแอสย้อนด้วยแรงดัน VCB เกิดกระแสคอลเลคเตอร์ IC ซึ่งมีค่าต่ำไหลในวงจรด้านคอลเลคเตอร์
เมื่อไบแอสตามหัวต่ออีมิตเตอร์
- เบสด้วยแรงดัน VEB อิเล็กตรอนจะถูกฉีดจากอีมิตเตอร์สู่เบส (เรียกว่า กระแสอีมิตเตอร์)
อิเล็กตรอนจำนวนหนึ่งจะไหลเป็นกระแสเบส แต่กระแสส่วนใหญ่ไหลไปถึงหัวต่อเบส -
คอลเลคเตอร์ และถูกสนามไฟฟ้าที่เกิดจากไบแอสย้อนกวาดเข้าไปเป็นกระแสคอลเลคเตอร์
จากลักษณะสมบัติเช่นนี้จึงเป็นการใช้กระแสเบสค่าน้อยเพื่อควบคุมกระแสคอลเลคเตอร์ที่มีค่าโต
เรียกว่า การขยายสัญญาณกระแส
ในกรณีทรานซิสเตอร์ชนิด PNP
ก็ให้คิด คล้ายกันเพียงเปลี่ยนทิศทางของประจุไฟฟ้า
5.7 พลานาร์ทรานซิสเตอร์
เทคโนโลยีสารกึ่งตัวนำแบบพลานาร์
เป็นกรรมวิธีสำคัญในการสร้างทรานซิสเตอร์ไอซี
และสิ่งประดิษฐ์สารกึ่งตัวนำชนิดต่างๆ
จุดเด่นของพลานาร์ทรานซิสเตอร์
ได้แก่
-
มีการใช้ขั้นซิลิคอนไดออกไซด์ปิดผิวไว้
ทำให้มีความเชื่อถือได้สูง
-
มีขนาดเล็กจิ๋ว
จึงเหมาะกับการใช้งานที่ความถี่สูง
-
แว่นผลึก 1
แผ่น สามารถนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ได้มากกว่า 10,000 ตัว ทำให้
ราคาการผลิตต่อตัวมีค่าต่ำ
ภาพประกอบที่ 19 แสดงพลานาร์ทรานซิสเตอร์
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor34.jpg
|
ภาพประกอบที่ 20 แสดงกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนกำลังขยายหนึ่งแสนเท่า
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor35.jpg
|
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้า แตกต่างจากไบโพลาร์ทรานซิสเตอร์ที่ใช้การทำงานของพาหะชนิดเดียว
อิเล็กตรอน หรือโฮล อย่างหนึ่งอย่างใด จึงเป็นยูนิโพลาร์ทรานซิสเตอร์
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบ่งตามกรรมวิธีการสร้างได้เป็น
2 ชนิดคือ
-
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบบหัวต่อ
-
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบบ MOS
5.8.1 ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบบหัวต่อ
เมื่อป้อนแรงดันไฟฟ้าตรงแก่ปลายทั้งสองของผลึกสารกึ่งตัวนำชนิด
N กระแสอิเล็กตรอน จะไหลจากซอสไปเดรน ช่อง (Channel) ที่อิเล็กตรอนไหลจะถูกกำหนดด้วยแรงดันไฟลบ ที่ป้อนให้แก่ส่วน P ที่แพร่ซึมไว้ทั้งสองข้างของช่อง เมื่อแรงดันไฟลบที่เกทมีค่าสูงขึ้น
สนามไฟฟ้าจะส่งผลให้เขตปลอดพาหะขยายตัวโตขึ้น
บีบให้ช่องไหลของอิเล็กตรอนมีขนาดแคบลง ดังนั้น
แรงดันไฟที่เกทจึงสามารถควบคุมการไหลของอิเล็กตรอนจากซอสไปเดรนได้
ภาพประกอบที่ 21 แสดงทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบบหัวต่อ
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor36.jpg
|
5.8.2 ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบบ MOS (MOSFET)
MOSFET มาจาก M : Metal
(โลหะ) O : Oxide (ออกไซด์) S :
Semiconductor (สารกึ่งตัวนำ) F : Field (สนามไฟฟ้า)
E : Effect (ผล) T : Transistor (ทรานซิสเตอร์) เป็นทรานซิสเตอร์ที่ใช้หลักการทำงานที่
แรงดันเกทควบคุมสภาพการนำไฟฟ้าที่ชั้นบางๆ ที่บริเวณผิวของผลึกสารกึ่งตัวนำ
ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้าแบบ MOS
มีส่วนสำคัญในการพัฒนาไอซีที่มีขนาดใหญ่ (LSI) ตัวอย่าง มอสทรานซิสเตอร์ชนิด
P ชัลแนล (แบบเอนฮันสเมนท์) เมื่อแรงดันเกทเป็น 0
กระแสไฟฟ้าจะไม่สามารถไหลจากซอสไปเดรนได้
เมื่อมีแรงดันไฟลบที่เกท
อิเล็กตรอนจะถูกกดให้เคลื่อนห่างผิว ในขณะที่โฮลจะถูกดึงให้เคลื่อนใกล้ผิว
เกิดเป็นชั้น P บางๆ ที่สามารถนำไฟฟ้าได้
เกิดกระแสไฟฟ้าไหลจากซอส (ชนิด P) ผ่านช่อง (ชนิด P) ไปยังเดรน (ชนิด P) ได้
กระแสไฟฟ้านี้จึงถูกควบคุมปริมาณด้วยแรงดันเกท
การใช้งานด้านไฟฟ้ากำลัง
สารกึ่งตัวนำสามารถนำมาใช้ในงานเพื่อสร้างเป็นสิ่งประดิษฐ์ได้
เช่น
-
เพาเวอร์ทรานซิสเตอร์
-
เพาเวอร์มอสเฟท
-
ไธรีสเตอร์
-
ไธแอค ไดแอค
เพื่อใช้ควบคุมไฟฟ้าที่กำลังควบคุมมอเตอร์ ใช้ทำ
เครื่องส่งวิทยุ กำลังสูงความถี่สูง ใช้ทำแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากำลัง ฯลฯ
5.9 ไอซี IC (Integrated Circuits)
ทำขึ้นในแว่นผลึกสารกึ่งตัวนำซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบของวงจร เช่น ไดโอดทรานซิสเตอร์ ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ ฯลฯ ที่ต่อเป็นวงจรไว้ จึงเป็นวงจรขนาดจิ๋ว มีความเชื่อถือได้สูงมาก มีราคาต่อชิ้นถูก กินไฟต่ำ และทำงานได้รวดเร็ว
ไอซีแบ่งตามความหนาแน่นขององค์ประกอบ วงจรต่อชิ้น คือ
- SSI (Small Scale Integration) ไม่เกิน 100
- MSI (Medium Scale Integration) 100 ~ ไม่เกิน 1,000
- LSI (Large Scale Integration) 1,000 ~ ไม่เกิน 100,000
- VLSI (Very Large Scale Integration) มากกว่า 100,000
ไอซีแบ่งตามความหนาแน่นขององค์ประกอบ วงจรต่อชิ้น คือ
- SSI (Small Scale Integration) ไม่เกิน 100
- MSI (Medium Scale Integration) 100 ~ ไม่เกิน 1,000
- LSI (Large Scale Integration) 1,000 ~ ไม่เกิน 100,000
- VLSI (Very Large Scale Integration) มากกว่า 100,000
ภาพประกอบที่ 22 แสดงภาพตัดขวางของไอซี
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor37.jpg
|
ไอซีเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในแว่นผลึกซิลิคอนได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถตัดแยกเป็นชิ้นๆ ได้ เรียกว่า ไอซีชิบ
ภาพประกอบที่ 23 แสดงภาพขยายของไอซี
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/semiconductor/semiconductor38.jpg
|
ไอซีเหล่านี้สามารถใช้งานเป็นวงจรตรรก
วงจรจำ ไมโครคอมพิวเตอร์ ไมโครโพรเซสเซอร์ ฯลฯ
อุตสาหกรรมผลิตไอซีกลายเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นฐานรองรับความก้าวหน้าเทคโนโลยีด้านต่างๆ
มากมาย ตั้งแต่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีการแพทย์
เทคโนโลยีสาธารณสุข เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
จึงมีผลกระทบต่อสังคมและมนุษยชาติในยุคอิเล็กทรอนิกส์อย่างมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น